10/10/2552

The Beaux Arts Style

Beaux Arts Style เป็นการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบกรีกและโรมันกับแนวคิดของ Renaissance เป็นที่นิยมของอาคารสาธารณะขนาดใหญ่และบ้านผู้ที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย

สถาปัตยกรรม Beaux-Arts เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรม แบบ The Beaux Arts style ได้ริเริ่มใน École des Beaux Arts ใน กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สถาปนิกชาวอเมริกันหลายคนได้ศึกษาที่โรงเรียนสถาปัตยกรรมที่เป็นตำนานแห่งนี้ ที่ที่พวกเค้าได้เรียนเกี่ยวกับหลักการเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ของการออกแบบคลาสสิกและได้นำพวกเขากลับไปสู่การออกแบบที่สหรัฐอเมริกา

"Beaux Arts style” อยู่ถึงกว่าสองศตวรรษของการเรียนการสอนภายใต้ผู้เชี่ยวชาญ เริ่มแรกที่ Académie royale d'architecture แล้วหลังจากนั้น ตามมาด้วยการปฏิวัติสถาปัตยกรรมของ Académie des Beaux-Arts จัดตั้งภายใต้ Ancien Régime ในการแข่งขันสำหรับ Grand Prix de Rome เพื่อเสนอให้มีการเรียนการสอนในกรุงโรม และรุ่งเรื่องมากในยุค Second Empire (1850-1870) และ the Third Republic ต่อมา ลักษณะการสอนนั้นก่อให้เกิด Beaux-Arts architecture อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการปรับปรุงใหม่ใหญ่จนถึงปี 1968

The Beaux-Arts style มีอิธิพลอย่างมากในสถาปัตยกรรมสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ 1880-1920 นอกจากนี้เหล่าสถาปนิกยุโรปในช่วงปี ค.ศ 1860-1914 ได้นำวิชาการไปใช้ในศูนย์วิชาการของชาติและค่อนข้างมากกว่าในปารีส ในส่วนสถาปนิกอังกฤษศิลปะแบบคลาสสิคในการพัฒนาสูงสุด นั้นในรัฐบาล New Delhi ยุคของ Sir Edwin Lutyens ตามหลักสูตรค่อนข้างอิสระมากขึ้นเนื่องจากนโยบายทางวัฒนธรรมของปลายศตวรรษที่ 19

ลักษณะเฉพาะของ The Beaux-Arts style





Alternating male and female mascarons decorate keystones on the San Francisco City Hall







Beaux-Arts building decoration presenting images of the Roman goddesses Pomona and Diana. Note the naturalism of the postures and the rustication of the stonework




แม้ว่า Beaux-Arts style จะกลายเป็นวิถีทางทำให้เกิดจิตวิญญาณใหม่ภายในขนบธรรมเนียมที่หรูหรามากว่าการจัดของความคิดที่เป็นจุดสำคัญของศิลปะ ลักษณะสำคัญของสถาปัตยกรรม Beaux-Arts อาจสรุปโดยย่อได้ดังนี้
>หลังคาแบน
>หน้าต่างทำเป็นโค้ง
>ประตูทรงโค้งและทรงหน้าจั่ว
>มีรายละเอียดที่คลาสสิก อ้างอิงถึงการสังเคราะห์ของสไตล์ historicist
>มึความสมมาตร
>งานปั้น ประติมากรรม แกะสลักผนัง,ประติมากรรมร่าง,กลุ่มประติมากรรม) จิตรกรรมฝาผนัง, กระเบื้องเคลือบสลับสีและงานศิลปะอื่นๆทั้งหมดรวมกันก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของอาคารขึ้น
>รายละเอียดสถาปัตยกรรมคลาสสิก ราวจับบันได ลูกกรง, เสา, ประดับประดาด้วยพวงมาลา,เป็นต้น
>การออกแบบที่เป็นระเบียบ
>ลักษณะที่ใหญ่โตโอ่อ่า
>การตกแต่งที่ที่อลัการและปราณีต

ก่อนของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เริ่มพบคู่แข่งใหม่ที่สำคัญในหมู่สถาปนิกของ Modernism และกำลังเริ่ม International style(สถาปัตยกรรม) ชื่อเสียงของ École ทำให้ สไตล์ "Beaux-Arts" กลับมาอีกในการประนีประนอมลักษณะใหม่ที่มีการศึกษาแบบดั้งเดิม สถาปนิกทั้งหมดในการฝึกต้องผ่านขั้นตอนในศึกษารูปจำลองแบบโบราณ, วิเคราะห์ ถอดแบบจากกรีกหรือแบบโรมัน ศึกษาและขั้นตอนธรรมเนียมอื่นๆในการแข่งขันที่ยาวนานเพื่อให้ได้สอง-สามสถานที่ที่น่าพอใจที่ the Académie de France à Rome(สถาบันใน Villa Medici) กับความต้องการดั้งเดิมของการส่งแบบการนำเสนอเป็นระยะที่เรียกว่า envois Rome de


The Beaux Arts style เรียกอีกอย่างว่า Beaux Arts Classicism, Academic Classicism,หรือClassical Revival สไตล์ Beaux Arts ใช้มากที่สุดสำหรับอาคารสาธารณะ เช่น พิพิธภัณฑ์ ,สถานีรถไฟ, ห้องสมุด,ธนาคาร, ศาลากลาง, และสถานที่ราชการ ในประเทศสหรัฐอเมริกาสไตล์ Beaux Arts นำไปสู่การวางแผนกับสิ่งที่ใกล้เคียงขอกจากอาคารแล้วเช่น ถนนขนาดใหญ่ ,ส่วนสาธารณะ

ความนิยมของthe Beaux Arts styleเสื่อมถอยในปี 1920 ภายใน 25 ปี ตึกรามบ้านช่องได้รับการพิจารณาว่าโอ้อวดหรูหร่าฟุ่มเฟือยเกินไป
ภายหลังในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้นับถือลัทธิโปสตมอเดร์นิสมได้ค้นพบได้ค้นพบคุณค่าของ the Beaux Arts ideals อีกครั้ง


ตัวอย่างอาคาร สไตล์ Beaux Arts


The Beaux Arts Vanderbilt Marble House in Newport, Rhode Island


Pont Alexandre III and Grand Palais in Paris.


Grand Central Terminal (Station opened 1871, Terminal 1903), New York City


The Iowa, a Beaux-Arts condominium in Washington, D.C.


Andrew Mellon Building


Government Conference Centre, Ottawa


The Beaux Arts Style กับสถาปัตยกรรมไทย

อาคารสไตล์ Beaux Arts แห่งแรกในประเทศไทย






ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาตลาดน้อย


ที่ตั้ง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายอันนิบาเล ริกอตติ (Annibale Rigotti)

ผู้ครอบครอง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ปีที่สร้าง พ.ศ. 2451

ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525


ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาตลาดน้อย เป็นที่ทำการธนาคารแห่งแรกของไทยที่ก่อตั้งขึ้นจากพระดำริของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ผู้ทรงได้รับยกย่องเป็นบิดาแห่งการธนาคารไทยแรกที่เดียว พระองค์ท่านได้ทรงทดลองดำเนินกิจการธนาคารขึ้นที่ตึกแถวย่านบ้านหม้อ ใช้ชื่อว่า บุคคลัภย์ ในช่วงหลังจากเสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2440 ต่อมากิจการดำเนินไปได้ผลดี จึงทรงได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งธนาคารขึ้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2449 เรียกว่า แบงก์สยามกัมมาจลทุน จำกัด ดำเนินการมาจนปี 2450 กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยก็สิ้นพระชนม์ หากกิจการธนาคารยังคงดำเนินต่อมา โดยได้ก่อสร้างที่ทำการถาวรแห่งแรกขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2451 ณ ตลาดน้อย ที่ยังคงอยู่จนปัจจุบัน

ตัวอาคารเป็นอาคาร 3 ชั้นสถาปัตยกรรมโบซารส์ (Beaux Arts) ออกแบบโดยนายอันนิบาเล ริกอตติ (Annibale Rigotti) ลักษณะเด่นคือการตกแต่งประดับประดาที่มากมายด้วยองค์ประกอบคลาสสิคจากยุคต่างๆ นำมาผสมผสานกันอย่างซับซ้อน อาทิ ลวดบัว หัวเสา ปูนปั้น และการทำผนังชั้นล่างเลียนแบบการก่อหิน ส่วนภายในตกแต่งอย่างหรูหราเช่นกัน อาคารนี้ได้มีการบูรณะตามความจำเป็น ครั้งหลังสุดคือในปีพ.ศ. 2538 ปัจจุบันยังคงให้บริการเป็นที่ทำการธนาคาร อันเป็นนโยบายและความภาคภูมิใจของธนาคารที่จะเก็บรักษาคุณค่า และความเป็นของแท้ดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด เพื่อสืบทอดเป็นประวัติศาสตร์ต่อไป



ที่มา :
http://www.hflight.net/forum/m-1231834731/s-26/
http://jan.ucc.nau.edu/~twp/architecture/beauxarts/
http://en.wikipedia.org/wiki/Beaux-Arts_architecture
http://architecture.about.com/od/periodsstyles/ig/Historic-Styles/Beaux-Arts.-0cU.htm

10/08/2552

บทสัมภาษณ์รุ่นพี่ที่ชื่นชอบ "พี่กฤษ"



กฤษณ์ จิวะนันทประวัติ 46020001

น้องถาม : จบปีอะไร รุ่นที่เท่าไหร่คะ
พี่ตอบ : ปี 2550 รุ่นที่31
น้องถาม : จุดเริ่มต้นของการเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์
พี่ตอบ : ความสนใจในศิลปะศาสตร์
น้องถาม : มองคณะนี้อย่างไร ก่อนเข้าศึกษา
พี่ตอบ : สิ่งใหม่ เปิดกว้างทางด้านความคิด
น้องถาม : การเข้าเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์สมัยนั้น แตกต่างจากสมัยนี้อย่างไร
พี่ตอบ : หลักสูตร การเข้าใจถึงแก่นแท้
น้องถาม : ขณะเรียนคาดหวังหรือไม่ ที่จะทำงานในอาชีพสถาปนิก
พี่ตอบ : คาดหวังในอาชีพหลัก แต่ก็มีอาชีพรองอีกมากมาย
น้องถาม : เพื่อนร่วมรุ่นสมัยนั้นจบแล้ว ประกอบอาชีพอะไรบ้าง
พี่ตอบ : โดยส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในสายวิชาชีพนี้ หรือไม่ก็สายงานที่มีความเกี่ยวข้องกัน
น้องถาม : ความหลากหลายของวิชาชีพในสมัยก่อนและสมัยนี้
พี่ตอบ : ไม่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับการให้ความสำคัญกันมัน
น้องถาม : หลังจากจบปริญญาตรีแล้วสอบใบประกอบวิชาชีพเลยรึเปล่า
พี่ตอบ : เรียนรู้งานก่อนแล้วจึงสอบ
น้องถาม : งานชิ้นแรกที่ได้ทำในนามของการเป็นสถาปนิกคืองานอะไร
พี่ตอบ : ผู้ช่วยในทีมการออกแบบ
น้องถาม : งานที่ทำแล้วประทับใจที่สุดคืองานอะไร
พี่ตอบ : ทุกงาน ที่คิดว่าทำมันอย่างเต็มที่ที่สุด
น้องถาม : งานที่ทำแล้วไม่ประทับใจ
พี่ตอบ : ทุกงาน ที่คิดว่าทำมันแล้วไม่ใส่ใจมัน
น้องถาม : ขั้นตอนไหนยากสุดในการทำงาน
พี่ตอบ : กระบวนการวางแผนความคิด
น้องถาม : คิดอย่างไรกับคำว่า สงคราม 4 เศร้า (สถาปนิก, วิศวกร, ผู้รับเหมา, เจ้าของ) เคยประสบปัญหานี้บ้างหรือไม่
พี่ตอบ : นั้นคือรูปแบบความสัมพันธ์ ที่ขึ้นอยู่กับการจัดการระบบของแต่ล่ะฝ่ายมาประสานกัน
น้องถาม : ปรัชญาที่ใช้ในการทำงาน
พี่ตอบ : ทำให้เต็มที่ที่สุดกับงาน พร้อมกับสนุกและเรียนรู้ไปกับมัน
น้องถาม : จากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมา มีวิธีผลกระทบรึไม่ และการเอาชนะอย่างไร
พี่ตอบ : การตั้งสติ ผลที่จะเกิดตามมาจากการที่เราตัดสินใจด้วยสติ
น้องถาม : โอกาสที่สถาปนิกไทยจะได้ทำงานในต่างแดนมีมากน้อยเพียงใด ควรพัฒนาอย่างไรให้มีมากขึ้น
พี่ตอบ : มันขึ้นอยู่กับตัวเองโดยตรง แค่คุณคิดว่าจะทำงานในต่างแดนคุณก็เดินไปหามัน เพราะตัวคุณองพัฒนา ตลอดเวลาอยู่แล้ว
น้องถาม : มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการร่วมงานสถาปนิกผู้หญิง และผู้หญิงไม่เหมาะที่จะทำอาชีพนี้รึเปล่า (ในประเทศไทย)
พี่ตอบ : ความสามารถเท่านั้นที่จะว่าคุณจะเหมาะกับอาชีพนี้หรือไม่
น้องถาม : ภาพที่เห็นของวงการสถาปนิกในอนาคตจะไปในทิศทางไหนอย่างไร
พี่ตอบ : มีการพัฒนาวิชาชีพอย่างตอเนื่องและสามารถวางมาตรฐานวิชาชีพได้อย่างมั่นคง
น้องถาม : สุดท้ายอยากฝากอะไรไว้ให้กับสถาปนิกรุ่นใหม่
พี่ตอบ : การตั้งคำถามกับตัวเอง การเรียนรู้กับตัวเอง การเข้าใจตัวเอง

ก็ต้องขอขอบคุณพี่กฤษที่สละเวลาอันมีค่ามานั่งตอบคำถามในครั้งนี้ด้วยนะคะ ซึ่งก็ได้เห็นทัศนคติในอีกแง่มุมนึกของอาชีพการทำงานนี้ ขอบคุณค่ะ

นี่คือของแถมค่ะ เป็นเพื่อนที่ทำงานของพี่กฤษค่ะ ชอบที่พี่เค้าตอบ ลองอ่านเล่นๆดูค่ะ

1.จบปีอะไร รุ่นที่เท่าไหร่คะ
สถาปัตย์ไทย ศิลปากร รุ่น 49 จบปี 2551
2.จุดเริ่มต้นของการเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์
อยากเป็นสถาปนิกตอนมอสี่แต่ไม่อยากเป็นเพราะทำสเก็ตดีไซน์ไม่เก่งตอนติวมอสี่ รุสึกกดดันเลยไม่อยากเรียน แต่วันนั้นที่เพื่อนชวนไปติวตอนมอหกก่อนสอบเจ็ดวันที่ศิลปากร เลยอยากเรียน ถาปัดอีกครั้ง
3.มองคณะนี้อย่างไร ก่อนเข้าศึกษา
แนวดีอ่ะ
4.การเข้าเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์สมัยนั้น แตกต่างจากสมัยนี้อย่างไร
สมัยก่อนเด็กวิดเข้าได้อย่างเดียว สมัยนี้ใครๆก้ออยากจะมาเรียน แม้แต่เด็กศิลป์ฝรั่งเศส งงเลย!
5.ขณะเรียนคาดหวังหรือไม่ ที่จะทำงานในอาชีพสถาปนิก
ตอนแรกๆไฟแรงอยากเป็นเกรซอย่างแรง หลังๆเริ่มทำอย่างอื่นดีกว่า ปวดหลังหว่ะ
6.เพื่อนร่วมรุ่นสมัยนั้นจบแล้ว ประกอบอาชีพอะไรบ้าง
ก้อส่วนใหญ่เป็นเตคอ่ะ แต่ทำกราฟฟิคบ้างก้อมี ครีเอทีฟบ้างก้อมี เปิดโชว์รูมรถก้อมี ที่ไม่เป็นเตคอ่ะรวยกว่า
7.ความหลากหลายของวิชาชีพในสมัยก่อนและสมัยนี้
เหมือนกับว่าสมัยก่อนเค้าบอนทูบี แต่สมัยนี้ค่อนข้างกะแส แต่คนที่ชอบมากๆในอาชีพนี้ก้อมีเยอะ เราคงส่วนส่วนน้อย
8.หลังจากจบปริญญาตรีแล้วสอบใบประกอบวิชาชีพเลยรึเปล่า
สอบซิ เพื่อนๆเค้าก้อสอบกัน ไม่สอบซิแปลก
9.งานชิ้นแรกที่ได้ทำในนามของการเป็นสถาปนิกคืองานอะไร
ออกแบบบ้าน
10.งานที่ทำแล้วประทับใจที่สุดคืองานอะไร
ศาลพระภูมิ เล็กๆแต่ได้ใจความ
11.งานที่ทำแล้วไม่ประทับใจ
ออกแบบบ้านในข้อเก้า
12.ขั้นตอนไหนยากสุดในการทำงาน
ควบคุมงานก่อสร้าง เป็นคอนเซาวล์ แล้วเจอผู้รับเหมาไม่ดี
13.คิดอย่างไรกับคำว่า สงคราม 4 เส้า (สถาปนิก, วิศวกร, ผู้รับเหมา, เจ้าของ) เคยประสบปัญหานี้บ้างหรือไม่ ประจำ
เป็นเรื่องปกติ
14.ปรัชญาที่ใช้ในการทำงาน
งานหนักเงินน้อย แต่ อย่าหมิ่นเงินน้อย และอย่าคอยวาสนานะ ไม่เกิดหรอก
15.จากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมา มีวิธีผลกระทบรึไม่ และการเอาชนะอย่างไร
ก้อมีแต่เจ้านายดีมีชัยไม่กว่าครึ่ง แฟร์ๆ
16.โอกาสที่สถาปนิกไทยจะได้ทำงานในต่างแดนมีมากน้อยเพียงใด ควรพัฒนาอย่างไรให้มีมากขึ้น
อย่าคอยวาสนา ให้สนับสนุนกันเองทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ใช่ขัดขากันเองหรือเล่นพรรคพวกเส้นใหญ่กว่าได้งานไรงี้ อยากให้มองที่แนวคิด คนไม่ดังอาจมีความคิดที่เจ๋งกว่าคนที่ดังแล้ว
17. มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการร่วมงานสถาปนิกผู้หญิง และผู้หญิงไม่เหมาะที่จะทำอาชีพนี้รึเปล่า (ในประเทศไทย)
ก็จริง อย่างเช่น ผู้รับเหมาเห็นคอนเซาวล์เป็นผู้หญิงและอายุน้อยก้อจะไม่ค่อยเชื่อถือ สงสัยว่าทำไมต้องกลัวแต่ผู้หญิงที่เฮี้ยมๆและดุถึงจะเกรงใจกันและเชื่อถือ สวยและใสล่ะเป็นเหยื่อแน่ๆ
18.ภาพที่เห็นของวงการสถาปนิกในอนาคตจะไปในทิศทางไหนอย่างไร
ไม่รุซิ น่าจะดีมั้ง เกาะกระแสไปเรื่อยๆ อยากให้มีเจ้าของงานที่เข้าใจสถาปัตยกรรมเยอะ ตึกเมืองไทยจะได้สวยๆ เพราะสถาปนิกมักจะแพ้ทางผู้รับเหมา
19.สุดท้ายอยากฝากอะไรไว้ให้กับสถาปนิกรุ่นใหม่
ตั้งใจเรียนเยอะๆจบออกมาจะได้มีพื้นฐานที่ดี และค้นหาตัวเองไปเรื่อย อย่าหยุดพัฒนา

7/23/2552

Field trip.....!!!

วันที่ 4 กรกฎาคม 2552



บ้านทรงชัย จังหวัดสระบุรี บ้านเรือนไทยนี้มีอายุกว่าร้อยปีได้ถูกย้ายมาเพื่อการอนุรักษ์อย่างหนึ่ง และเพื่อให้เห็นถึงการดำรงชีวิตแบบไทยสมัยเก่า ภายในบริเวณบ้านก็จะมีกลิ่นอายของการใช้ชีวิตแบบไทยดั้งเดิม มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พื้นบ้านเป็นลานดินโล่ง ภายในมีความร่มรื่น ร่มเย็น มีชานที่ยื่นติดกับริมน้ำ ซึ่งชี้ให้เห็นชัดว่าชีวิตคนไทยอาศัยแหล่งน้ำเป็นสำคัญในการดำเนินชีวิต
และตอนเที่ยงก็ได้ไปทานอาหารที่หอวัฒนธรรมไทยพื้นบ้านไทยยวนเป็นบ้านทรงไทย บนเนินและลงไปเป็นแม่น้ำและมีศาลาเรือนแพ ให้บรรยากาศที่เย็นสบายมาก แล้วพอทานข้าวเสร็จก็มีเด็กๆมาฟ้อนรำให้ดู เป็นการฟ้อนที่สวยงามประทับใจ แล้วได้เห็นอาจารย์จิ๋วแจกเงินเด็กๆที่มารำให้ดู ช่างเป็นภาพที่น่ารัก 
ในช่วงเย็นใกล้มืดอาจารย์ก็พาแวะไปที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ซึ่งเป็นเวลาที่ใกล้มืดแล้วอาจารย์ก็ได้อธิบายอย่างรวดเร็วแล้วรีบถ่ายรูป เป็นอุโบสถที่ทำจากหินศิลาแลง มีฐานหนามี Sense ของ landscape ทำให้เกิดบรรยากาศที่เงียบสงบ ซึ่งเข้าไปแล้วก็รู้สึกอย่างที่อาจารย์ว่าจริงๆ ที่นี่ไม่ได้ถ่ายรูปเลยเพราะแบตหมด เสียดายมากจริงๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากที่จะกลับไปอีก

วันที่ 5 กรกฎาคม 2552





วันนี้เริ่มต้นที่ วัดไหล่หินหลวง จังหวัดลำปาง วันนี้ฝนได้ตกลงมาแต่เช้า เข้าไปภายในหวัดจะเจอกับต้นไม้ใหญ่สองต้น เป็นต้นโพธิ์ต้นหนึ่งและต้นมะม่วงต้นหนึ่งในลานวัดเป็นลานทรายทำให้เห็นที่ว่างที่ส่งให้อุโบสถเด่นขึ้นมา ถัดจากนั้นก็มีรูปั้นสิงค์สองตัวคู่กัน ในส่วนอุโบสถก็จะมีกำแพงล้อมล้อมก่อนชั้นหนึ่ง มีประตูซุ้มก่อนเข้าไปในตัวอุโบสถ ส่วนตัวของอุโบสถเป็นคอนกรีต ส่วนหลังคานั้นทำจากไม้ เป็นหลังคาซ้อนชั้นที่สวยงามมากที่หนึ่ง บริเวณภายในเขตอุโบสถก็เป็นลานทราย และมีเจดีย์อยู่ข้างหลัง แต่ก็อยู่ภายในเขตกำแพงเดียวกัน รอบๆเจดีย์มีแท่นว่างพระพุทธรูปเล็กๆ วางอยูโดยรอบเป็นจุดๆ บรรยากาศภายในของวัดก็เงียบสงบ ข้าพเจ้าคิดว่าสามารถนั่งนิ่งๆ ได้เป็นวันๆ เลย

จากนั้นเวลาประมาณเที่ยงๆ ก็ได้ไปที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ยังอยู่ที่จังวัดลำปางอยู่ วัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีสิงห์ตัวใหญ่สองตัวอยู่หน้าบันไดทางขึ้น ตรงบันไดทางขึ้นข้างๆ มีหัวพญานาคที่มีไข่อยู่ในปาก ไข่นี่เป็นไข่ไก่ที่ชาวบ้านเอาไปวางไว้เพื่อบูชา ขึ้นไปจะเจอกับซุ้มประตูสูง วิหารคดรายล้อม กำแพงเป็นกำแพงฉาบปูนแต่เติม แต่ตอนนี้เห็นเป็นอิฐเนื่องจากปูนที่ฉาบหลุดออกไปกลับกาลเวลา ทางเข้ามีซุ้มประตูแบบล้านนา เรียกซุ้มมณฑก การซ้อนชั้นหลังคา เป็นคติความเชื่อสู่ชั้นสวรรค์ Space ภายในเป็นช่องเสาช่วงกว้าง ที่นี่ไม่มีการตกแต่งอย่างวิจิตร สังเกตจากวิหารคด ลานโล่ง การเชื่อมต่อต่างๆเกิดความลื่นไหลกับ space

วันที่ 6 กรกฎาคม 2552



วันนี้ได้เข้าไปดูในหมูบ้าน ได้เห็นสภาพของบ้านชาวบ้านพื้นเมืองที่เค้าใช้ชีวิตแบบที่พึ่งพาอาศัยอยู่กับธรรมชาติ มีอาชีพส่วนใหญ่เป็นการเพราะปลูก เกษตรกรรม สภาพของหมู่บ้านเริ่มเปลี่ยนแปลงมากขึ้น แต่ส่วนมากเป็นบ้านเรือนไม้ ยกใต้ถุนสูง อาจารย์อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงมีได้แต่ต้องเข้าใจและใช้ปัญญา และรักษาความเป็นท้องถิ่นพื้นบ้านได้ และที่นี่ได้ไปดูทุ่งนาที่ชาวบ้านกำลังทำนาอยู่ ขณะที่ฝนยังตกปรอยๆ ซึ่งฉากหลังเป็นภาพทิวทัศน์ของภูเขาที่มีเมฆหมอกคลุมอยู่เป็นภาพที่ประทับใจข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าได้เดินลงไปในทุ่งนา และได้สัมผัสแล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ทำให้เกิดคำถามว่า ชีวิตเรายังต้องการอะไรอีก ถ้าเพียงแค่เห็นอย่างนี้ก็มีความสุขแล้ว ชีวิตที่เรียบง่าย ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มีความสุขที่แบบเรียบง่าย





ต่อจากนั้นได้ไปวัดช่วงกอม ที่นี้ไม่มีรูปเพราะแบตหมดไปกับหมู่บ้านก่อนหน้านี้แล้ว เลียดายจริงๆ วัดนี้เป็นวัดที่มีสถาปนิกออกแบบ สถาปนิกของการเคหะแห่งชาติ อุโบสถเป็นแบบล้านนา ซึ่งมีความสวยงามดีทีเดียว แต่เรื่องหนึ่งที่อาจารย์ติว่าดูขัดๆ นั้นคือตรงกำแพงวัดที่เป็นกำแพงอิฐเหมือนกับของ Frank ซึ่งไม่ทำให้เกิดความอ่อนน้อมในความรู้สึก และส่วนตัวของข้าพเจ้าก็คิดว่าควรเป็นกำแพงฉาบปูนแบบเก่าน่าจะเหมาะสมกว่า อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะคิดอย่างไร ไม่ว่ากัน

วันที่ 7 กรกฎาคม 2552




วันนี้ดอนเช้าอากาศค่อนข้างสดชื่นเนื่องจากฝนเริ่มเบาลงแล้วเช้านี้ เลยออกไปที่ระเบียงห้องพักและได้เห็นภาพที่สวยงามของเมืองที่ปกคลุมด้วยหมอกและภูเขาที่มีเมฆลอยเกาะยังกับขนมสายไหม สูดอากาศได้เต็มปอดจริงๆ
วันนี้ตอนเช้าอาจารย์พาไปที่วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาราม จังหวัดลำปาง เป็นวัดที่มีการพัฒนาจากแบบเดิมมาแล้ว คือส่วนของอุโบสถ เสาเป็นโครงสร้างคอนกรีต ส่วนหลังคายังคงเป็นไม้อยู่ แต่มีการประดับประดาด้วยลายไทยที่วิจิตร ภายในอุโบสถไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก ไม่ได้ติดฝ้าเพดาน ปล่อยโล่ง และประตูของอุโบสถนี้เป็นประตูไม้ด้วยเช่นกัน
ตอนบ่ายๆไปที่วัดปงสนุก จังหวัดลำปาง เป็นวัดที่ยกฐานวัดสูง เดินขึ้นไปจะเจอกับเจดีย์ทองและมีศาลาพระอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นศาลาที่สวยงามมาก ขางหลังเจดีย์เป็นโบสถ์พระนอน ข้างล่างมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าที่ทางวัดทำขึ้นมาเป็นห้องที่ไม่กว้างมากนัก ในนั้นก็จะมีหีใส่พระไตรปิฎก เป็นต้น



วัดศรีรองเมืองเป็นวัดที่งดงามมาก เป็นไม้ทั้งหลัง หลังคาซ้อนชั้นได้สัดส่วนงดงามมากๆ เป็นอาคารยกถุนสูง ภายในประดับประดาด้วยกระจกสีต่างๆ ระยิบระยับสวยงามประทับใจมาก แนวความคิดคือได้จำลองสรวงสวรรค์ ให้เกิดความรู้สึกว่าได้มาสัมผัสกับสวรรค์ชั้นดาวดึงและที่นี่ก็ได้พักทานข้าว ซึ่งที่นี่เขาใจดีมา ได้นำอาหารมาเลี้ยงพวกเราได้อิ่มกันถ้วนหน้า 

วันที่ 8 กรกฎาคม 2552



วันนี้ไปวัดท้องฟ้าเปิดมาก เห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าตัดกลับหลังคาของวัดสวยงามมาก เริ่มต้นที่วัดพระพันเต้า จังหวัดเชียงใหม่ตัวโบสถ์ของวัดนี้เป็นไม้เกือบทั้งหลัง มีคอนกรีตที่ฐานและผนังบางส่วน วิหารไม้ใช้วิธีการยึดผนังเป็นลูกฟัก หลังคาไม้ซ้อนชั้นสูง วันนี้เดิมไม่ได้ใช้ตะปู ภายในห้องอุโบสถ มีความโอ่อ่ากว้างขวาง เพราะที่นี่ไม่ได้ตีฝ้าเพดานเลยทำให้รู้สึกโล่งมาก ส่วนผนังภายในก็ไม่ได้ประดับตกแต่งอะไร ปล่อยให้เห็นผนังที่เป็นไม้ ไม่ได้หรูหราแต่ก็มีคุณค่าในความเป็นไม้ เรียบง่าย
ต่อจากนั้นก็ได้ไปวัดทุ่งอ้อ จังหวัดเชียงใหม่ วัดนี้มีอุโบสถที่ตัวโบสถ์ทำด้วยไม้และก่ออิฐหลังคาไม้ มีการยกฐานสูง รวงผึ้งมีการปั้นปูน คนทวย เต้า ปั้นลม มีการขมวดและผายออกเป็นตัวเหงา หน้าจั่วประดับลวดลายไม้ และตรงทางขึ้นของวัดนี้ไม่ได้เป็นตัวสิงห์เหมือนวัดทางภาคเหนือส่วนมาก เสาภายในทำเส้นตั้งทำให้ Space อัดตัวเป็นทางสูงให้ความรู้สึกมีกำลังในแนวตั้ง



วัดต้นแกว๋นหรือวัดอินทราวาส จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดที่เป็นแหล่งรวมสถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อม พยายามรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น สภาพแวดล้อมเป็น Public space องค์ประกอบสำคัญคือวิหาร มณฑปโอบล้อมแท่นวิหารคด ข้างหน้าเป็นบ่อน้ำสาธารณะ ต้นไม้รอบรั้วเป็นพวกโกศล ข้างในเป็นต้นตาลลำต้นสูงชะลูด กระเบื้องภายในวิหารเป็นกระเบื้องพื้นเมือง ยิ่งเก่ายิ่งสวย มีการใช้สีต่างกันในแต่ละจุด มีแกะสลักลายไม้ที่อ่อนช้อยสวยงาม

วันที่ 9 กรกฎาคม 2552





วันนี้ศูนย์การเรียนรู้บ้านทรงไทยล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกลุ่มบ้านเรือนไทยภาคเหนือแบบต่างๆ วันนี้พอไปถึงอยู่ดีๆ ฝนก็ตกลงมาทำให้พวกเราทั้งหมดต้องหลบฝนในบ้านหลังแรกที่อาจารย์พาขึ้นไปก่อน ซึ่งเรือนนี้เป็นเรือนล้านนาดัดแปลง มีการใช้สอยแบบล้านนา ยกถุนสูง หันแกนทางทิศตะวันออกตะวันตก มีชานบ้านเปิดโล่ง ด้านล่างโรยกรวดทราย จะได้ทำความสะอาดได้ง่าย ภายศูนย์นั้นก็มีบ้านแบบอื่นๆอีก ได้แก่ บ้านเรือนทรงปั้นหยา เป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ สองชั้น หลังคาทรงปั้นหยาเหลื่อมซ้อนกันอย่างลงตัวผสมผสานกับหลังคาจั่วที่ยื่นออกมจากด้านหน้าของตัวเรือน หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา ชั้นบนมีระเบียงทางเดินอยู่ด้านหน้าห้องโถงใหญ่ จนถึงด้านหลังบ้านและภายในห้องโถงมีบันไดลงสู่ชั้นล่างด้วย
บ้านพื้นถิ่นแม่แตง รูปแบบของเรือนพัฒนามาจากเรือนพื้นถิ่นที่เป็นเรือนเครื่องผูกแบบเดี่ยว ลักษณะของเรือนเป็นเรือนจั่วแฝดที่สร้างด้วยไม้เนื้อแข็งทั้งหลัง ตัวเรือนยกพื้นสูง ส่วนหลังคาจั่วหลักเชื่อมต่อกันโดยมุงด้วยกระเบื้อดินขอ มีชานเดินระหว่างเรือนสองหลัง โครงสร้างเป็นระบบเสาคาน มีการเจาะช่อง สอดเข้าเดือย บาก พาด พนังเป็นแผ่นไม้ตีซ้อนแนว พื้นเป็นไม่แผ่น
ส่วนบริเวณอื่นๆก็จะมียุ้งข้าวที่มีเสาสูงมากและไม่มีบันไดขึ้น เพื่อป้องกันการขโมยข้าวกันเกิดขึ้น บรรยากาศโดยรวมนั้นร่มรื่น ร่มเย็น สดชื่น
พอเวลาบ่ายๆ ก็ไปในหมู่บ้าน ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปมาก เป็นหมู่บ้านชนบทที่มีป่าเขา และบ้านเรือนส่วนใหญ่ชาวบ้านสร้างขึ้นตนเอง วัสดุในการสร้างบ้านจึงมีความหลากหลาย และได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ พอถึงที่นี่ก็เริ่มเย็นมากแล้ว ก่อนกลับได้ไปเล่นน้ำที่ทำนบเขื่อนเล็กๆ ของชาวบ้าน ที่ไหลมาจากภูเขา น้ำเย็นมาก เป็นที่ที่ชาวบ้านใช้น้ำจากฝ่ายนี้ในชีวิตประจำวัน







วันที่ 10 กรกฎาคม 2552





วันที่ 8 ของการเดินทาง เริ่มต้นของวันด้วยการไปที่สนามบินสุโขทัย เป็นสนามบินส่วนตัวของสายการบิน ภายในอาคารขาเข้า หลังคาไม้วางจันทัน วางม้าต่างไหม ลดหลั่นหลังคาเป็นพื้นเตี่ยว มีการนำเอารูปแบบของสุโขทัยมาใช้แต่ไม่ทั้งหมด มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานด้วย มีการใช้เหล็กประกบ เป็นอาคารเปิดโล่งไม่มีผนัง เวลาฝนตกจะเอาผ้ายาง ม้วนลงมาคลุมกันฝนสาดแทน ส่วนที่นั่งรอ รองรับคนได้ 140 คน ใช้น้ำหยดในหลังคาลดความร้อน มีสระน้ำเป็นที่กันความปลอดภัย ตรงรันเวย์มีสระน้ำ และมรเจดีย์ทรงพุ้มข้าวบินเป็นสัญลักษณ์ว่าถึงสุโขทัยแล้ว
และบริเวณสนามบินมีสวนสัตว์ โรงเพราะพรรณพืช ดูเผินๆแล้วไม่เหมือนกับสนามบินเลย ให้บรรยากาศของสนามบินที่แตกต่างมาก
ถัดจากสนามบินสุโขทัยก็ไปที่ศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์ไทยสังคโลก วันนี้อากาศร้อนมากๆ และพอได้เข้าไปนั่งข้างในของศูนย์แล้ว อากาศข้างในเย็นสบาย ศูนย์นี้เป็นที่เก็บสังคโลกโบราณที่ขุดพบในสุโขทัย เนื่องจากสมัยก่อนสุโขทัยทำสังคโลกส่งออก อาคารนี้ก็ได้ออกแบบโดยใช้ลักษณะของสุโขทัย Space ภายในเหมือนจัด Landscape นำมาใช้ในการออกแบบ


หลังจากนั้นก็ไปที่วัดเจดีย์เก้ายอด เป็นสถาปัตยกรรมโบราณสถานเก่าแก่มาก ระเบียบของการก่อเจดีย์เป็นการก่อแบบ Wall barely ที่นี่ได้ขึ้นไปดูแค่ยอดที่สองก็ต้องกลับลงมาเพราะมืดมากแล้ว อาจารย์เรียกลับให้ไปขึ้นรถก่อน เลยไม่ได้ไปดูส่วนที่เหลือ แต่เป็นที่ที่สวยงามมากเช่นกัน


วันที่ 11 กรกฎาคม 2552





วัดพระมหาธาตุ เป็นวัดสำคัญที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสุโขทัย มีกำแพงและคูน้ำล้อมรอบ ภายในวัดประกอบด้วยเจดีย์ประทานทรงพุ้มข้าวบิณฑ์ หรือทรงยอดบัวตูม มี วิหาร มณฑป อุโบสถและเจดีย์รายมีจำนวนมากถึง 200 องค์ มีพระปรางค์ทิศสี่องค์ ที่แสดงอิทธิพลศิลปะขอม และเจดีย์ประจำมุมอีก สี่องค์ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทห้ายอด แสดงอิทธิพลศิลปะแบบล้านนา รอบฐานประดับด้วยรูปปูนปั้นพระสาวก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืนสูง ด้านหน้าเจดีย์สันนิฐานว่าเป็นที่ตั้งของวิหารหลวง ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่
วัดกุฎีราย เป็นวัดวัดที่มีสองหลังก่อด้วยศิลาแลง รวมทั้งหลังคาที่ก่อด้วยศิลาแลงด้วย ทรวดทรงของกุฏิแห่งนี้มีชื่อเสียงว่างดงามมาก กุฏิทั้งสองต่อเนื่องด้วยวิหารโถง กรมศิลปกรได้บูรณะ แต่อาคารมีการชำรุดมากจนไม่ศึกษารูปแบบเดิมได้

วันที่ 12 กรกฎาคม 2552







วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ ได้ไปที่วัดพระพุทธชินราช หรือวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก วัดนี้มีผู้คนมาสักการะจำนวนมาก ทั้งอย่างทำให้เป็นระบบเศรษฐกิจไปหมด ไม่มีบรรยากาศของความสงบในแบบที่วัดควรเป็น แต่ที่เห็นได้ชัดมองอีกแง่หนึ่งก็ดีที่ชาวบ้านมีรายได้จากนักท่องเที่ยวในส่วนนี้ วัดนี้มีโบสถ์เป็นผนังก่ออิฐหลังคายังคงเป็นไม้หน้าจั่วประดับลวดลายวิจิตร เสาภายในมีการประดับประดาด้วยทองคำเปลวเหลืองอร่าม อลังการและสวยงาม ภายในวัดมีเจดีย์ และพระปรางค์ด้วย จากนั้นอาจารย์ก็ปล่อยให้ไปซื้อของฝากเนื่องจากเป็นวันสุดท้ายแล้ว พอซื้อของฝากเสร็จต่างพากันขึ้นรถแล้วก็เดินทางกลับบ้าน เย้
จากที่ได้มาทริปครั้งนี้ ทำให้รู้ว่าคนไทยสมัยก่อนนั้น มีความสามารถสร้างอาคารที่งดงามอย่างนี้ ด้วยภูมิปัญญาที่ชาญฉลาด ทำให้เกิดศิลปะของสถาปัตยกรรมที่งดงามและควรค่าแก่การรักษา และทำให้รูว่าประเทศไทยยังมีที่เที่ยวมากมาย แค่เราต้องออกไปสัมผัสมันเท่านั้น ;)

6/13/2552

"to be Architect...? "




ทำไมถึงอยากเป็น "สถาปนิก" เริ่มแรกช่วงที่ต้องสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่ต้องคิดและค้นหาความต้องการของตัวเองจริงๆ มันเป็นการเริ่มต้นสิ่งที่เราต้องจิงจังกับชีวิต และก็ยังสับสนว่าตัวเองนั้นต้องการอะไร อะไรจะเหมาะกับเรา ทำแล้วเรามีความสุข ตอนนั้นเครียดมาก ปรึกษาแม่ แม่บอกให้เรียนบัญชีเพราะจบมามีงานรองรับสบายๆ แต่คิดๆดู "นี่มันชีวิตเรานะ" เราต้องรู้ว่าชีวิตเราต้องการอะไร เพราะเราเองต่างหากที่เป็นคนใช้มัน เลยลองทบทวนสิ่งที่ตนเองชอบ เป็นคนชอบวาดรูป ชอบงานด้านศิลปะ แต่อาจจะไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นทั่วๆไป ส่วนใหญ่ก็ชอบงานศิลปะทั้งนั้น เพราะสามารถช่วยแต่งแต้มชีวิตเราให้สดชื่นขึ้นได้ แต่สำหรับข้าพเจ้ามันอาจเป็นสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทำได้และคิดออกในขณะนั้น เลยเลือกที่จะเรียนด้านนี้


พอได้เข้ามาเรียนแล้วแรกๆนั้นก้อรู้สึกว่าสนุกกับการเรียนในช่วงปีหนึ่ง ได้ทำอะไรหลายๆอย่าง ไปในที่ไม่เคยไป ได้เริ่มสิ่งใหม่ๆ เพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ การปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ ตอนแรกก็ไม่รู้จะทำไง จะทำตัวอย่างไง เพราะเป็นคนขี้อาย พูดน้อยและพูดไม่รู้เรื่อง(อันนี้รู้ตัวเองดี) กลัวว่าจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ แต่มันก็ผ่านช่วงนั้นมาได้ด้วยดี พอการเรียนในชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ได้รับในปีหนึ่งนั้นมันชั่ววูบจริงๆ จากความสนุกก็เริ่มการเป็นการทำงานที่เหนื่อย กับงานที่ต้องทำ ความรับผิดชอบที่ต้องมี มันเหนื่อยจริงๆ ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้หลุด มีท้อหลายหนแต่ก็คิดว่าเราเลือกทางเดินเราเองนี่ ก็ต้องเดินไปให้สุดทาง เพื่อแม่ ตอนนี้ก็พยายามทำให้ดีที่สุด "ต้องพยายาม"


ความคิดในตอนนี้หลังจากเรียนคณะนี้มาได้เกือบ 5 ปี ก็คิดว่าอาชีพนี้มันหนัก และเหนื่อย แล้วรายได้ก็ไม่ได้มากมายอย่างที่ใครๆคิดเลย การทำงานจริงมันต้องเครียดกว่าการเรียนแน่นอน แต่คิดไว้แล้วว่าจบไปอาชีพนี้อาจไม่ใช่อาชีพหลัก เพราะตอนนี้รู้แล้วว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไร หลังจากเรียนคณะนี้มา 5 ปี แต่ยังไงก็เป็นสิ่งที่ชอบ ยังชอบอาชีพนี้อยู่ แต่เพียงมีสิ่งอื่นที่ชอบมากกว่าเท่านั้น แต่ก็ต้องทำตรงนี้ก่อน และจะพยายามทำให้ดีที่สุด